แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
พูดคุยเรื่องทั่วไป / ทาวน์โฮม วิลล่า สุมารี (Villa Sumalee)
« เมื่อ: วันที่ 3 มิถุนายน 2025, 15:44:03 น. »
ทาวน์โฮม วิลล่า สุมารี (Villa Sumalee)
N/A

วิลล่า สุมารี (Villa Sumalee)
โครงการ “วิลล่า สุมาลี” ตั้งอยู่บริเวณทางด้านทิศใต้ของเกาะภูเก็ต บนพื้นที่อันเงียบสงบของเขตตำบลราไวย์ รายล้อมไปด้วยทิวเขาที่สวยงาม โครงการบ้านจัดสรรต่างๆ และที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่น

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   วิลล่า สุมารี (Villa Sumalee)
 เจ้าของโครงการ              แฮซเรท
 ราคา                           N/A
 ประเภทบ้าน                   บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล                  บ้านพักตากอากาศ, บ้านลักษณะทำเลอื่น
 พื้นที่โครงการ                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน                   13 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด              2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย                  ตั้งแต่ 127 ถึง 180 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                     2 ชั้น
 หน้ากว้าง                   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน                2 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ                1 คัน
 สาธารณูปโภค              สวนสาธารณะ

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             เมืองภูเก็ต
 ที่ตั้ง             ซ.กิ่งสุขสันต์ 4 ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต

 ขนส่งสาธารณะ            ใกล้ถนนสายหลัก (ถ.วิเศษ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ท่าเรืออ่าวฉลอง
หาดราไวย์
หาดในหาน
มาร์เก็ต วิลเลจ ภูเก็ต
เทสโก้ โลตัส ราไวย์
แม็คโคร ฟู๊ดเซอร์วิส ราไวย์

2
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบ In-Ovation R คืออะไร

การจัดฟันมีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ซึ่งได้แก่ การฟันแบบโลหะทั่วไป ที่สวมใส่เหล็กจัดฟัน การจัดฟันแบบใส ที่มองเห็นเครื่องมือได้ยาก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เข้ารับการรักษา ทั้งยังทำให้คนอื่นมองไม่ออกเลยว่าคุณกำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ นอกจากนี้ ยังมีการจัดฟันแบบรวดเร็วที่ช่วยลดระยะเวลาการจัดฟันด้วยเครื่องมือแบบเฉพาะ โดยการจัดฟันในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันจะช่วยลดปัญหาฟันในกรณีต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันล้ม หรือฟันไม่สบกัน ซึ่งรูปแบบของการจัดฟันก็จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละบุคคลและการพิจารณาของทันตแพทย์ด้วย


ผู้ที่ต้องการจัดฟันจะต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดฟันอย่างละเอียด โดยมองทั้งข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงวิธีการดูแลรักษาระหว่างที่จัดฟัน เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม การจัดฟันมีด้วยกันหลายรูปแบบอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่ก็มียังการจัดฟันอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษา ทำให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นก็คือ การจัดฟันแบบ In-Ovation R ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบ In-Ovation R เผื่อใครอาจจะยังไม่เคยได้ยิน และต้องบอกว่า พิเศษสุดๆ เพราะทางคลินิก ของเรามีโปรโมชั่น ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 59,000บาท จากปกติราคา 69,000 บาท สำหรับใครที่สนใจ สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำในการจัดฟันได้ที่คลินิกของเรา ทางเราทีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญยินดีให้คำปรึกษา

สำหรับการจัดฟันแบบ In-Ovation R เป็นการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือจะมีหน้าต่างที่สามารถเลื่อนขึ้นลงได้เพื่อล็อคลวดแทนการมัดด้วยยาง เช่นเดียวกับระบบดาม่อน ส่งผลให้ฟันเกิดการเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องได้ดีกว่าระบบธรรมดา และยัง ใช้แรงเคลื่อนตัวน้อยกว่า ทำให้ผู้เข้ารับการรักษารู้สึกเจ็บน้อยกว่าและใช้เวลาจัดเร็วกว่าระบบธรรมดาอีกด้วย โดยการจัดฟันแบบ In-Ovation R มีข้อดีคือ การจัดฟันจะได้ผลสำเร็จมากที่สุด จบการรักษาเร็วกว่าและได้ผลการรักษาที่แน่นอน ผู้เข้ารับการรักษาจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่า รวมไปถึงช่วยลดโอกาสในการถอนฟัน และที่สำคัญก็คือ เครื่องมือในการจัดฟัน จะเป็น Bracket ที่ถูกออกแบบมาให้มีความบางที่สุด

ซึ่งผลดีคือช่วยลดโอกาสในการเกิดแผลภายในช่องปากมากขึ้น เนื่องจากตัว Bracket ไม่ไปเสียดสีกับอวัยวะในบริเวณช่องปากมากนัก และไม่เกิดปฏิกิริยาลบต่อร่างกายด้วย  เห็นมั้ยว่า การจัดฟันแบบ In-Ovation R มีข้อดีมากมาย และยังช่วยลดโอกาสการสูญเสียฟัน เนื่องจากการถอนฟันได้อีกด้วย ทั้งยัง ช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการรักษาให้สามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการจัดฟัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใด ก็สามารถทำได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ผู้เข้ารับการรักษาควรจะได้รับการตรวจการสบฟันจากทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา ซึ่งหลายคนก็มีคำถามว่า ควรเริ่มจัดฟันตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันส่วนใหญ่ มักจะเริ่มทำในเด็กมีฟันแท้ขึ้นเกือบครบ คืออายุประมาณ 11-13 ปี อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาการสบฟันบางอย่างสามารถทำได้ในช่วงฟันแท้ขึ้นผสมกับฟันน้ำนมได้ เพื่อให้ลุกน้อยมีฟันที่สวยงามตั้งแต่เนิ่นๆเลยทีเดียว


ดังนั้น หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบ In-Ovation R สามารถเข้ามาปรึกษาทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญได้ที่คลินิกได้ เพราะทางเรามีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการทันตกรรมอย่างครบวงจร และนอกจากนี้ ทางคลินิกยังมีโปรโมชั่นสำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบ In-Ovation R โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่  59,000บาท จากปกติราคา 69,000 บาท พิเศษสุดๆ สำหรับผู้ที่อยากมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี หากใครสนใจก็สามารถเข้ามาขอรับคำแนะนำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่

3
พูดคุยเรื่องทั่วไป / คอนโดติดรถไฟฟ้า BROMPTON Pet Friendly Sukhumvit 107
« เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2025, 23:43:50 น. »
คอนโดติดรถไฟฟ้า BROMPTON Pet Friendly Sukhumvit 107
เริ่มต้น 2.45 ลบ.

BROMPTON Pet Friendly Sukhumvit 107
คอนโดใหม่! พร้อมอยู่ เลี้ยงสัตว์ได้ พร้อมบริการสัตว์เลี้ยงครบวงจร ใกล้ BTS แบริ่ง สะดวกสบายทุกการเชื่อมต่อ

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                BROMPTON Pet Friendly Sukhumvit 107
 เจ้าของโครงการ           ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 ราคา                        เริ่มต้น 2.45 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ความสูงคอนโด          Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี         1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี            ตั้งแต่ 26.46 ถึง 29.76 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด            2 งาน 75 ตร.ว.
 จำนวนตึก               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น               7 ชั้น
 จำนวนห้อง             78 ยูนิต + 1 ร้านค้า
 ที่จอดรถทั้งหมด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Cozy Pet Zone), สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน
 ที่ตั้ง
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:              ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานีหมอชิต - แบริ่ง(แบริ่ง)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

4
จุดไหนของโรงงาน ต้องการฉนวนกันความร้อนที่สุดในหน้าร้อน

ใครก็ตามที่ทำงานโรงงาน หรือเป็นผู้ประกอบการโรงงานย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า สภาพบรรยากาศภายในโรงงานนั้นถือได้ว่าร้อนกว่าออฟฟิศปกติทั่วไปมาก ซึ่งการที่มีความร้อนสะสมในโรงงานสูง ๆ นั้น จะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นเอง การติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” ภายในโรงงานจึงเป็นเสมือนกับการอุดรูรั่วไม่ให้กำไรรั่วไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหน้าร้อนเมษายนของทุกปี ที่ความร้อนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลเสียต่อโรงงานมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน โดยพื้นที่เร่งด่วนที่ควรติด ฉนวนกันความร้อน ในหน้าร้อนสำหรับโรงงานนั้น มีดังต่อไปนี้


1.บริเวณหลังคาหลังโรงงาน

หลังคาโรงงานอุตสาหกรรมคือส่วนที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด และมีขนาดใหญ่เป็นแนวราบไปตามขนาดของโรงงาน ทำให้ตลอดทั้งกลางวันนั้นดูดซับความร้อนสะสมเอาไว้เป็นจำนวนมาก ยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่กลางวันยาวนานกว่ากลางคืน และอุณหภูมิสูงกว่าช่วงฤดูกาลอื่น ๆ ก็ยิ่งทำให้หลังคาโรงงานต้องสะสมความร้อนเอาไว้มากกว่าปกติ

ดังนั้น หากบริเวณหลังคาโรงงานซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหลังคาเมทัลชีทที่ดูดความร้อนนำความร้อนได้ดี ไม่มีการเสริม ฉนวนกันความร้อนสำหรับหลังคาโรงงาน เอาไว้ ความร้อนก็จะทะลุเข้าส่วนตัวโรงงานและทำให้เครื่องจักรทำงานหนักขึ้น พนักงานทำงานได้ประสิทธิภาพด้อยลงมากขึ้นเท่านั้น


2.บริเวณระบบปรับอากาศ

แน่นอนว่าเมื่อโรงงานร้อน สิ่งที่จะทำให้ทุกคนทำงานกันได้ในบรรยากาศที่ดีขึ้นก็คือเปิดแอร์ ยิ่งร้อนเท่าไร เครื่องปรับอากาศภายในโรงงานทั้งหมดก็จะยิ่งทำงานหนักมากเท่านั้น แต่ในความเย็นที่ระบบปรับอากาศให้ได้ ก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานของระบบปรับอากาศที่หนักขึ้น และคายความร้อนออกมามากขึ้นกว่าเดิม เหมือนเวลาที่เราไปยืนตรงคอมเพลสเซอร์แอร์แล้วมีไอร้อนออกมานั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ในระบบปรับอากาศของโรงงานซึ่งมักมีขนาดใหญ่และซับซ้อนกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไป ก็จำเป็นต้องมีการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานระบบปรับอากาศ เอาไว้ด้วย เพื่อช่วยลดความร้อนที่ระบายออกมาจากระบบปรับอากาศ และช่วยแบ่งเบาภาระให้ระบบปรับอากาศยังคงทำงานได้อย่างเป็นปกติ ไม่หนักเกินไปจนเสียหายชำรุดพังได้ง่ายกว่าปกติ


3.บริเวณห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูง

ถือเป็นอีกจุดสำคัญเลยที่ต้องการฉนวนกันความร้อน เพราะห้องเครื่องจักรอุณหภูมิสูงนั้น หากได้รับการสะสมความร้อนจากภายนอกเพิ่มเติมมาก ๆ โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน ลด หรือระบายความร้อนออกเลย โอกาสที่เครื่องจักรจะทำงานหนักเกินไปจนเกิดการ Over Heat ก็มีสูง ซึ่งถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรเสี่ยง เพราะหากเกิดความขัดข้องขึ้นกับเครื่องจักรที่เป็นกำลังหลักในกระบวนการผลิต จะไม่เพียงแค่เรื่องค่าซ่อมแซมเท่านั้น

แต่นั่นหมายความว่ากระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างประเมินมูลค่าไม่ได้ หรือหากเกิดความร้อนจนกลายเป็นอุบัติเหตุขึ้น ก็อาจไม่ใช่แค่ความเสียหายต่อทรัพย์สินเท่านั้น แต่อาจลุกลามไปถึงความเสียหายในเรื่องของชีวิตและความปลอดภัยพนักงานรวมถึงคนในชุมชนด้วย ดังนั้น สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมใดก็ตามที่มีเครื่องจักรที่ทำงานภายใต้อุณหภูมิสูงล่ะก็ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องติดฉนวนกันความร้อนที่ห้องเครื่องจักรนั้น

ฉนวนกันความร้อน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรตรวจสอบดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสะสมความร้อนสูงภายในโรงงานให้ดี ให้เราได้มีเตรียมตัวป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าไฟที่สูงขึ้น เครื่องจักรทำงานหนักเกินไป หรืออุบัติเหตุที่ทำให้พนักงานทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

5
หมอประจำบ้าน: มะเร็งทอนซิล (Cancer of tonsil)

มะเร็งทอนซิล พบได้น้อย (ประมาณร้อยละ 0.5 ของมะเร็งทั้งหมด) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบมากในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ในคนอายุน้อยกว่า 40 ปีพบได้ประปราย ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงข้างเดียว

สาเหตุ

ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ และการเสพยาสูบในรูปแบบอื่น ๆ
    การดื่มสุราจัด
    การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papilloma virus/HPV) จากการมีเพศสัมพันธ์โดยทางปาก
    มีการบริโภคสารก่อมะเร็ง เช่น การกินหมาก
    การบริโภคผักและผลไม้น้อย

อาการ

มีอาการเจ็บคอเรื้อรังข้างหนึ่ง อาจเจ็บร้าวไปที่หูข้างเดียวกัน อาจพบมีเลือดปนในน้ำลายหรือเสมหะ มีกลิ่นปากเรื้อรัง กลืนลำบาก พูดเสียงคับปาก หายใจลำบากร่วมด้วย

มักตรวจพบว่าทอนซิลโตข้างหนึ่ง และต่อมน้ำเหลืองใต้คางหรือข้างคอโตจากการแพร่กระจายของมะเร็ง (บางครั้งอาจเป็นอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์)


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการที่มะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง เช่น โคนลิ้น โพรงไซนัส กระดูกกราม กระดูกใบหน้า

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายผ่านเข้ากระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ และใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง หลอดลมและหลอดอาหาร เพื่อดูว่าการลุกลามของมะเร็งมายังอวัยวะเหล่านี้ จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับรังสีบำบัด บางรายอาจให้เคมีบำบัดร่วมด้วย

ผลการรักษา โดยเฉลี่ยผู้ป่วยมีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี มากกว่าร้อยละ 60


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการเจ็บคอเรื้อรังข้างหนึ่ง, เจ็บคอร่วมกับเจ็บร้าวไปที่หูข้างเดียวกัน, มีเลือดปนในน้ำลายหรือเสมหะ, มีกลิ่นปากเรื้อรัง กลืนลำบาก หรือพูดเสียงคับปาก, มีก้อนแข็ง (ต่อมน้ำเหลือง) ที่ใต้คางหรือข้างคอ

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งทอนซิล ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งทอนซิลด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการเสพยาสูบทุกรูปแบบ (เช่น การเคี้ยวยาสูบ การสูดยานัตถ์)
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด
    หลีกเลี่ยงการกินหมาก
    ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเอชพีวี ด้วยการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เสรีและไม่ปลอดภัย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ควรปรึกษาแพทย์ในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการเจ็บคอและทอนซิลโตข้างหนึ่งเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

6
สร้างอาชีพ จากการขายกะเพราเนื้อชิ้นรสเด็ด เผ็ดร้อนถึงใจ ซอสเข้มข้นทำง่ายสไตล์ร้านตามสั่ง

ข้าวกะเพราเนื้อชิ้นเป็นอาหารยอดนิยมของไทย โดยเฉพาะในรูปแบบอาหารริมทางหรือสตรีทฟู้ด ด้วยรสชาติที่จัดจ้านและทำง่าย จึงเป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สตรีทฟู้ดของไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่จัดจ้าน ปรุงได้รวดเร็วและราคาไม่แพง ในบรรดาเมนูยอดนิยมมากมายข้าวเนื้อผัดกะเพราถือเป็นเมนูที่ต้องลองชิมสำหรับคนรักอาหาร

อาหารจานนี้ขึ้นชื่อในเรื่องกลิ่นหอมกะเพรา เนื้อหั่นบาง ๆ และรสเผ็ดร้อนเป็นอาหารหลักในสตรีทฟู้ดของไทย

อะไรที่ทำให้มันพิเศษ?
เนื้อผัดกะเพราเป็นเมนูง่ายๆ แต่รสชาติจัดจ้านที่ถ่ายทอดความเป็นไทยได้เป็นอย่างดี โดยประกอบด้วย:

เนื้อสไลซ์นุ่มผัดจนสุกพอดี
โหระพาหอมกลิ่นเฉพาะตัว
กระเทียมและพริกสำหรับรสชาติเผ็ดและเผ็ดร้อน
ซอสหอยนางรม ซอสถั่วเหลือง น้ำปลาเพิ่มรสชาติล้ำลึก
ไข่ดาวกรอบ (ไม่จำเป็นแต่ขอแนะนำ!)
อาหารจานนี้เสิร์ฟบนข้าวหอมมะลินึ่ง เป็นมื้ออาหารที่รวดเร็วและน่าพอใจที่สามารถรับประทานได้ตลอดเวลา

จะหาซื้อได้ที่ไหน?
เมนูนี้หาซื้อได้ตามแผงขายอาหารริมถนน ตลาดท้องถิ่น และร้านอาหารไทยทั่วไป พ่อค้าแม่ค้าจะปรุงเมนูนี้สดๆ เมื่อลูกค้าสั่ง โดยลูกค้าสามารถเลือกระดับความเผ็ดได้เอง หรือจะเลือกโปรตีนชนิดอื่นๆ เช่น ไก่ หมู หรืออาหารทะเลก็ได้

ทำไมคุณถึงควรลอง
รสชาติไทยแท้ในจานเดียว
รวดเร็วและราคาไม่แพงเหมาะสำหรับมื้อด่วน
ปรับแต่งได้ – เลือกเนื้อสัตว์และระดับเครื่องเทศที่คุณต้องการ
ได้รับความนิยมจากทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว
ครั้งหน้าที่คุณมาเที่ยวเมืองไทย อย่าพลาดโอกาสที่จะลิ้มลองเนื้อผัดกะเพราพร้อมข้าวสักจานซึ่งเป็นอาหารริมทางคลาสสิกอย่างแท้จริง


7
ปล่อยรถผู้บริหาร Volvo EC40 Ultra - Twin Motor รับส่วนลดเพิ่ม 50,000 บาท

วอลโว่ Volvo EC40 Ultra – Twin Motor ปี 2024
Volvo EC40 Ultra – Twin Motor รถไฟฟ้าสไตล์ครอสโอเวอร์ คูเป้ กับรูปทรงดีไซน์การออกแบบด้านท้ายของรถอันเป็นเอกลัษณ์ สำหรับผู้ที่มองหารถไฟฟ้าที่ไม่เพียงมาพร้อมพลังการขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าที่ทรงพลัง แต่รวมถึงดีไซน์ที่สะท้อนตัวตนของผู้ขับอย่างแท้จริง โดดเด่นด้วยเส้นหลังคา slimmed crossover roof line สีดำตัดกับสีตัวรถ และล้ออัลลอยด์ขนาดใหญ่ ขนาด 19 นิ้ว ไฟ LED ทั้งด้านหน้าและท้ายให้สัมผัสแห่งความทันสมัย เพิ่มความโดดเด่นให้ดีไซน์ของรถเช่นเดียวกับกระจังหน้า และแผงสปอยเลอร์ด้านหลังที่ไม่เพียงทำให้ตัวรถมีดีไซน์ที่ร่วมสมัย สะดุดตา ในแบบฉบับของรถไฟฟ้าที่มาพร้อมเทคโนโลยีเพื่อการขับขั้นสูง

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 8 พ.ค. - 31 พ.ค. 2568
พิเศษสำหรับลูกค้า Checkraka รับส่วนลดเพิ่ม 50,000 บาท
ฟรี! ขยายรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม., ฟรี! ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเช็คระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กม. และฟรี! ขยายบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน

ราคาพิเศษ 2,290,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

ข้อมูลทั่วไป

มอเตอร์ไฟฟ้า               กำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้า (150+258) ที่ พร้อมแรงบิด 670 นิวตันเมตร (250+420) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)          แรงม้า
ระบบเกียร์                            เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์                         Single speed transmission
ระบบเบรค ABS                     มี (พร้อมระบบกระจายแรงเบรค EBD และระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน EBA)
ชนิดแบตเตอรี่                       ไฟฟ้า
ความจุแบตเตอรี่                     82 kWh
ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง       650 กิโลเมตร
น้ำหนักตัวรถ                          -
ประเภทยางรถยนต์                   -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                       ล้ออัลลอย (19 นิ้ว ลายใหม่)
ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนสี่ล้อ (Dual motor, all-wheel drive)


8
อาหารสายยาง อาหารทางการแพทย์ สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

การรับประทานอาหาร ถือเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ส่งผลต่อร่างกายซึ่งร่างกายมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารเพื่อให้เกิดพลังงานและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ยิ่งในผู้ป่วยแล้วอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องดูแลเอาใจใส่และต้องระมัดระวังให้มาก เนื่องจากร่างกายผู้ป่วยมีความต้องการสารอาหารไม่เหมือนกับคนทั่วไป ผู้ป่วยบางกรณีอาจจะต้องมีการจำกัดในเรื่องของปริมาณของสารอาหารและอาจต้องมีการหลีกเลี่ยงสารอาหารบางประเภท เพื่อให้อาการป่วยไม่กำเริบขึ้นมา เพราะฉะนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วยต้องมีการดูแลมากเป็นพิเศษ

แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้มีอาหารสำหรับผู้ป่วยมากมาย ยกตัวอย่างเช่น อาหารปั่นผสมที่ใช้ให้กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้หรือผู้ป่วยที่หมดสติที่ต้องให้อาหารทางสายยางและอาหารทางการแพทย์ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่ต้องมีการจำกัดในเรื่องของปริมาณสารอาหาร เพราะอาหารทางการแพทย์มีการจำกัดสูตรเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆซึ่งก็จะมีสูตรที่แตกต่างกันเพราะผู้ป่วยในแต่ละโรคนั้นต้องได้รับสารอาหารในปริมาณจำกัดและแบบเฉพาะ สำหรับอาหารทางการแพทย์จะต้องใช้ในความควบคุมของแพทย์เท่านั้นและก่อนใช้จะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อให้ร่างกายไม่เกิดอันตรายหลังจากได้รับอาหารทางการแพทย์ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจรวมไปถึงการรับประทานอาหาร สำหรับผู้ป่วยเพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี

อาหารทางการแพทย์ สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจควรได้รับสารอาหารที่เหมาะสมทั้งคุณภาพและปริมาณ รวมถึงต้องดูแลสุขภาพตนเองให้มีสุขภาพดีอยู่ตลอด เพราะจะช่วยป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หลีกเลี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ควรรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน เพราะจะช่วยป้องกันการเก็บพลังงานที่เกินพอในรูปของไขมัน ทำให้ไม่เกิดโรคอ้วน และไม่ทำให้โรคหลอดเลือดหัวใจตามมาได้ สำหรับพลังงานที่ร่างกายของเราต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 1500 -2500 แคลอรี่ต่อวัน ความต้องการพลังงานในแต่ละวันของแต่ละคนนั้นก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ขนาดของร่างกาย อายุ เพศ แต่สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปความต้องการพื้นฐานประมาณ 25 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อหนึ่งวัน

แต่ถ้าหากผู้ที่มีการทำกิจกรรมหรือการทำงานหนักซึ่งต้องการมากกว่า โดยปริมาณคาร์โบไฮเดรตแต่ละวันประมาณ 45-65% ปริมาณโปรตีนอยู่ที่ 10-25% และไขมันอยู่ที่ 20-35 ทั้งนี้ ควรบริโภคอาหารในปริมาณที่เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวันซึ่งการรับประทานอาหารจนได้รับพลังงานมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในร่างกายทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆตามมา โดยผู้ป่วยโรคหัวใจควรรับประทานโปรตีนที่มีประเภทไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ที่]อกหนัง เนื้อปลา โดยรับประทานโปรตีนร้อยละ 15-20 ของพลังงานที่ได้รับและรับประทานคาร์โบไฮเดรตร้อยละ 50-60 ของพลังงานที่ได้รับ โดยควรเน้นเป็นสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเช่น ข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ได้ขัดสี นอกจากนี้การรับประทานผลไม้และผักใบเขียวอาหารที่มีเส้นใยสูง ไฟเบอร์สูงเป็นประจำ ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยประมาณ 27-37 กรัมต่อวัน เพราะในผักนอกจากจะมีวิตามินและเกลือแร่แล้วยังมีเส้นใยอาหาร ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายและควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด รวมไปถึงเม้แปรรูปทุกชนิดเพราะจะให้น้ำตาลและพลังงานที่มากจนเกินไป

อย่างที่ทราบกันดีว่าอาหารทางการแพทย์เป็นอาหารสูตรพิเศษ สำหรับความเจ็บปวดเฉพาะที่เป็นการช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมกับโรค แต่อาหารทางการแพทย์แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการรักษาโรคโดยตรง แต่จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาต่าง ๆ ซึ่งอาหารทางการแพทย์นั้นหากเราได้รับประทานเข้าไปแล้วจะไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ซึ่งในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา แต่ถ้าหากร่างกายเรามีความปกติดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารทางการแพทย์ แต่ถ้าหากมีความต้องการที่จะใช้อาหารทางการแพทย์ ก็ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการ ซึ่งจะได้ทำการพิจารณาว่าควรเลือกใช้อาหารทางการแพทย์ชนิดใดและใช้ขนาดที่ใช้ต่อครั้งในปริมาณเท่าใด

เพราะการใช้อาหารทางการแพทย์นั้นจะต้องมีการดูแลจากแพทย์และมีการติดตามผล เพื่อช่วยปรับภาวะทางโภชนาการให้เหมาะสมมากที่สุด โดยสารอาหารส่วนใหญ่ที่มีในอาหารทางการแพทย์หลัก ๆ คือคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ซึ่งจะถูกดัดแปลงให้สามารถย่อยได้ง่ายหรือบางชนิดอาจผ่านการย่อยแล้ว เพื่อให้ร่างกายของเราและดูดซึมได้เพื่อให้ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยอาหารทางการแพทย์นั้นนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดปัญหาการเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ ไม่ว่าจะในผู้ป่วยผู้สูงอายุหรือบุคคลทั่วไปที่สามารถรับทานอาหารได้น้อย แต่ถ้าหากใช้อาหารทางการแพทย์อยากเหมาะสมและตามคำแนะนำของโภชนาการก็จะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกายได้

9
ตรวจอาการด้วยตนเอง: ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)

ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (ผื่นแพ้จากกรรมพันธุ์ ก็เรียก) เป็นโรคที่พบบ่อยในทารก เด็กโต และคนหนุ่มคนสาว ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเป็นเท่ากัน เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวมักจะมีประวัติโรคภูมิแพ้ เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ลมพิษ มักตรวจพบว่าผู้ป่วยมีสารภูมิแพ้ ที่เรียกว่า อิมมูโนโกลบูลินอี (immunoglobulin E) หรือไอจีอี (IgE) ในเลือดสูงกว่าปกติ

อาการผื่นคันส่วนมากจะเกิดขึ้นโดยหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ บางรายอาจพบว่าแพ้อาหาร นมวัว (ทารกที่กินนมวัว มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าทารกที่กินนมมารดา) ฝุ่นละออง สบู่ ขนสัตว์ อากาศร้อน หรืออากาศหนาว แสงแดด เป็นต้น

นอกจากนี้ การได้รับบาดเจ็บ หรือเป็นโรคติดเชื้อของผิวหนังหรือทางเดินหายใจ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเป็นโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส และเด็กที่เป็นโรคนี้ เมื่อโตขึ้นอาจเป็นโรคหวัดภูมิแพ้หรือโรคหืดตามมา

สาเหตุ

เกิดจากการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

อาการ

แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะทารก ระยะเด็ก และระยะผู้ใหญ่

ระยะทารก มักจะเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุได้ 2-6 เดือน (เฉลี่ย 4 เดือน) โดยมีอาการผื่นแดง และตุ่มน้ำใสคัน

บางครั้งมีลักษณะเป็นหนังแห้งกว่าปกติ เป็นขุย และเป็นสะเก็ดขึ้นที่จมูก แก้ม หน้าผาก ศีรษะ ซึ่งมักจะขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีลักษณะรอยโรคคล้ายคลึง

บางครั้งอาจลามไปที่ลำตัวตอนบน แขนขา และบริเวณที่สัมผัสผ้าอ้อม

มักจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง อาการมักจะกำเริบขณะฟันจะขึ้น หรือมีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ

ส่วนมากจะหายได้เมื่ออายุ 2-4 ปี ในพวกที่ไม่หายก็จะเข้าสู่อาการในระยะเด็ก

ระยะเด็ก จะขึ้นเป็นผื่นแดง อาจมีตุ่มน้ำปน มีอาการคันมาก เมื่อเกาหรือถูมาก ๆ หนังอาจหนาขึ้น มักพบในบริเวณข้อพับ เช่น แขนพับ ข้อมือ ขาพับ ข้อเท้า รอบคอ มักเป็นทั้งสองข้างของร่างกายคล้ายคลึงกัน

บางรายอาจเกาจนน้ำเหลืองเยิ้ม หรือเป็นหนองจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจพบมีต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงมีการอักเสบร่วมด้วย

ระยะผู้ใหญ่ จะมีผื่นคันที่ข้อพับต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่พบในระยะเด็ก อาการมักจะกำเริบเวลามีภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ หรือในระยะก่อนมีประจำเดือน อาการจะน้อยลงเมื่ออายุ 20 กว่าปี และจะค่อย ๆ หายไปเมื่ออายุ 30 ปี


ภาวะแทรกซ้อน

อาจมีอาการคันมากจนทำให้นอนหลับไม่สนิท หรืออาจเกาจนมีน้ำเหลืองเยิ้ม ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย (กลายเป็นตุ่มหนอง หรือแผลพุพอง) หรือเชื้อรา (กลายเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น โรคเชื้อราแคนดิดา) หรือเชื้อไวรัส

ถ้าติดเชื้อเริม (ซึ่งเป็นไวรัส) อาจเป็นเริมชนิดรุนแรงได้ เรียกว่า “Eczema herpeticatum”

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจเกาเป็นนิสัย ทำให้ผิวหนังหนาตัว มีสีคล้ำ เรียกว่า “Neurodermatitis” หรือ “Lichen simplex chronicus” ซึ่งบางคนเรียกว่า “โรคเรื้อนกวาง” โดยไม่เกี่ยวกับโรคเรื้อน และไม่เป็นโรคติดต่อแบบโรคเรื้อนแต่อย่างใด

อาจกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสมาธิในการทำงาน หรืออาจรู้สึกอาย ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าเข้าสังคม

เด็กที่เป็นโรคนี้ อาจพบว่าเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุ 20-40 ปี ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากตัวโรคเอง หรือเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนาน ๆ ก็ได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบผื่นแดงและตุ่มน้ำใส ผิวหนังอาจมีลักษณะหนาตัวขึ้น บางครั้งอาจพบมีน้ำเหลืองเยิ้ม

บางราย แพทย์อาจทำการทดสอบทางผิวหนัง โดยวิธี patch test (ใช้น้ำยาที่มีสารต่าง ๆ ปิดที่หลัง แล้วดูปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์

2. ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ไดเฟนไฮดรามีน หรือไฮดรอกไซซีน

3. หากไม่ได้ผล หรือเป็นรุนแรง แพทย์จะให้กินสเตียรอยด์ (เช่นเพร็ดนิโซโลน) ในช่วงระยะสั้น ๆ (จะไม่ให้ต่อเนื่องนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้)

4. ถ้าเป็นตุ่มหนองหรือพุพอง ควรชะล้างด้วยน้ำเกลือ และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการผื่นแดงหรือตุ่มคัน ตามผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงอาหารและการสัมผัสถูกสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการ


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการกำเริบใหม่ 
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนอง แผลพุพอง เป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนัง หรือน้ำเหลืองไหล
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

    รักษาอุณหภูมิรอบตัวให้พอเหมาะ อย่าให้ร้อนหรือหนาวไป อย่าอาบน้ำร้อน อย่าใส่เสื้อผ้าหนาหรืออบเกินไป
    อย่าอาบน้ำบ่อย ควรอาบน้ำวันละครั้ง นานไม่เกิน 10-15 นาที อาบน้ำอุ่น และใช้สบู่อ่อนถูตัว หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งแล้วใช้ครีม หรือครีมบำรุงผิว หรือปิโตรเลียมเจลลี่ทา
    ใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิว หรือปิโตรเลียมเจลลี่ทาให้เกิดความชุ่มชื้น อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
    ควรหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง เช่น ฝุ่น ละอองเกสร สบู่ที่มีฤทธิ์แรง สบู่หอม สบู่ยา เป็นต้น
    งดอาหารที่อาจทำให้แพ้ง่าย (เช่น นม ไข่ อาหารทะเล) รวมทั้งหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่แพ้ง่าย (เช่น แอสไพริน เพนิซิลลินวี ซัลฟา)
    เสื้อผ้า ถุงเท้า ควรใช้ผ้าฝ้าย อย่าใช้ขนสัตว์
    ควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการเกาด้วยเล็บสกปรก ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้
    ควรหลีกเลี่ยงภาวะเครียดทางจิตใจ


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ชาวบ้านอาจเรียกว่า น้ำเหลืองเสีย ความจริงโรคนี้ไม่มีความผิดปกติเกี่ยวกับน้ำเหลืองแต่อย่างใด แต่เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการคันและเกาจนน้ำเหลืองเยิ้ม จึงเรียกชื่อตามอาการที่พบ ทั้งนี้อาจหมายถึงอาการผื่นคันอื่น ๆ เช่น ลมพิษ ผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส พุพอง

2. โรคนี้จะหายได้เองเมื่อโตขึ้น ยกเว้นในรายที่มีอาการตั้งแต่เล็ก หรือมีผื่นคันขึ้นทั่วร่างกาย หรือเป็นโรคหืดร่วมด้วย ก็อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ไม่ค่อยหายขาด

10
การจัดฟันเด็ก แก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่ผิดปกติได้หรือไม่

พฤติกรรมการดูดนิ้วของลูกน้อย ถือเป็นพัฒนาการปกติของเด็กเล็ก เป็นพฤติกรรมที่เด็กใช้ในการปลอบตนเอง หรือเป็นการกระตุ้นตัวเอง ซึ่งถือว่าเป้นเรื่องปกติ พฤติกรรมดังกล่าว สามารถพบภาวะนี้ได้ตั้งแต่ในครรภ์ วัยทารกพบภาวะดังกล่าวได้ถึงร้อยละ 80 ของเด็กทั้งหมด และจะลดลงจนเหลือประมาณร้อยละ 30-45 ในเด็กวัยก่อนเรียน โดยภาวะดังกล่าวเกิดจากการเรียนรู้พฤติกรรมในการปลอบตัวเองหรือการทำให้ตัวเองพึงพอใจโดยบังเอิญ เมื่อทำแล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย มักเกิดขึ้นช่วงเหนื่อย ง่วง เบื่อ หงุดหงิด ไม่สบาย หรือรู้สึกไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามการดูดนิ้วอาจเป็นพฤติกรรมที่เกิดการเรียนรู้เพื่อกระตุ้นตัวเองในเด็กที่ขาดการกระตุ้นหรือไม่ได้รับการดูแล


แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการดูดนิ้วที่มากเกินไป ในเด็กที่อายุมากกว่า 4 ปี อาจนำมาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปัญหาช่องปากและฟัน การสบฟันผิดปกติ กระดูกใบหน้าเจริญผิดปกติหรือพูดไม่ชัดได้ ดังนั้น พ่อแม่ต้องคอยสอดส่องดูแล หมั่นสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยเพื่อที่จะได้ป้องกันการเกิดการผิดปกติในเรื่องของโครงสร้างของใบหน้า และในเรื่องของปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก แต่รู้หรือไม่ว่า การเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถแก้ไขพฤติกรรมการดูดนิ้วในเด็กได้ หากเด็กมีอายุมากกว่า 4 ปี ขึ้นไป พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันเพื่อเข้ารักษาอาการผิดปกติ ที่เสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของช่องปากและฟัน รวมไปถึงปัญหาความผิดปกติขิงโครงสร้างใบหน้าด้วย

สำหรับวันนี้ทางคลินิก เราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็กว่า สามารถแก้ไขพฤติกรรมความผิดปกติในเด็กได้หรือไม่ พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะมีความกังวลว่า ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีพฤติกรรมการดูดนิ้วหรือชอบดูดขวดนม แม้ว่าจะอายุมากกว่า 4 ปีแล้ว ก็ยังไม่เลิกพฤติกรรมดังกล่าว หลายคนอาจจะกังวลว่า ลูกเมื่อโตขึ้นจะมีความผิดปกติในเรื่องของโครงสร้างใบหน้าหรือส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่


แน่นอนว่า หากลูกโตไปแล้วยังมีพฤติกรรมการดูดนิ้ว อาจจะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพของลูกน้อยได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก สำหรับการจัดฟันในเด็กที่มีอายุ 4-7 ปี เพราะเด็กในวัยนี้ยังมีพฤติกรรมการดูดนิ้ว ซึ่งเป็นผลเสียในอนาคตได้ หากมีพฤติกรรมเหล่านี้นานเกินไป ซึ่งการจัดฟันของเด็กในวัยนี้ก็จะเหมาะสำหรับการจัดฟันแบบ EF Line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ


ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต ซึ่งเครื่องมือ EF Line จะมีลักษณะเป็นชิ้นยางที่มีหลากหลายสี ที่ทำให้เด็กสามารถเพลิดเพลินกับเครื่องมือชิ้นนี้ได้ และเด็กก็ควรสวมใส่เครื่องมือชิ้นนี้ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ ซึ่งการสวมใส่เครื่องมือ EF Line ก็จะช่วยลดปัญหาในเรื่องของการดูดนิ้วได้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป เด็กๆก็จะเลิกพฤติกรรมการดูดนิ้วไปเอง ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก ก็สามารถช่วยลดพฤติกรรมการดูดนิ้วได้ นั่นเอง

หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันทุกรูปแบบ รวมไปถึงมีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมมาอย่างยาวนาน จึงทำให้มั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่แข็งแรง มีโครงสร้างของใบหน้าที่ปกติ ทำให้เด็กมีความมั่นใจ และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น เพราะทางเราใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก อยากให้เด็กได้มีฟันที่แข็งแรง เพื่อที่จะได้มีพัฒนาการที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

11
mobile expo 2025: 5 โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง สเปกแรง เล่นเกมลื่น งบ 40,000 บาท

สำหรับชาวเกมเมอร์ที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กสเปกแรงๆ สักเครื่อง เอาไว้สำหรับเล่นเกมมันๆ กับเพื่อนในตี้ ก็ต้องใช้โน้ตบุ๊กที่มีสเปกแรงๆ ออกแบบมาสำหรับการเล่นเกม เพื่อจะได้ปรับภาพได้สวยๆ มี FPS สูงๆ ไม่ให้หงุดหงิดเมื่อเกิดอาการหงุดหงิดหรือหัวร้อน เมื่อไรที่ FPS ตก สำหรับเกมเมอร์สายเกม FPS จะรู้กันว่าแค่เสี้ยววิก็ชี้เป็นชี้ตายกันได้เลย
 
โดยเราก็จะแนะนำโน้ตบุ๊กในงบประมาณ 40,000 บาท โดยจะเลือกมาเป็น CPU แบรนด์ Intel Core และ AMD ที่มีรหัส “H” ด้านหลัง ซึ่งจะออกแบบมาเพื่อสำหรับเล่นเกมและใช้งานหนักๆ โดยเฉพาะ ส่วนพระเอกของการเล่นเกมอย่าง Graphic card หรือการ์ดจอ ที่จะช่วยประมวผลในเรื่องของภาพ ก็จะหยิบแบรนด์ดังค่ายเขียวอย่าง NVIDIA มาให้ ซึ่งก็จะเป็น RTX 4000 Series รุ่นใหม่ มีการรองรับฟีเจอร์ Ray Tracing ที่ช่วยเรื่องแสง เงาสะท้อนให้สวยมากขึ้น และ DLSS ที่ช่วยเรื่องของการลบรอยหยักภาพ และให้ Framrate ที่สูงขึ้น จะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย


1.ASUS TUF GAMING A15 FA507NVR-LP037W (ราคา 38,990 บาท)

ASUS TUF GAMING A15 FA507NVR-LP037W สำหรับ ASUS TUF เป็นซีรีส์ยอกฮิตของเกมเมอร์หลายๆ คนเลย โดยรุ่นนี้จะมาด้วยหน้าจอ 15.6 นิ้ว ความละเอียด FHD Refresh rate สูง 144Hz แสดงผลได้ลื่นครับ ด้าน CPU เป็น AMD Ryzen 7 7435HS ถึงจะเป็น CPU Generation ก่อน แต่ก็แรงเพียงพอสำหรับการเล่นเกมเลยครับ ส่วนการ์ดจอเป็น RTX 4060 8GB GDDR6 ปรับกราฟิกสูงได้ ส่วนพอร์ตมี USB-C มาให้ 2 ช่อง และมี รองรับ Display Port 1 ช่องด้วยครับ และวางจำหน่ายในราคา 38,990 บาท
 
รายละเอียดสเปก
Display: 15.6" IPS Full HD (1920x1080) 144Hz, 250nits
CPU: AMD Ryzen 7 7435HS
GPU: Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6
RAM: 16GB DDR5 4800Mhz
Storage: SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2
I/O Ports (พอร์ตเชื่อมต่อ)
 - 1x USB-C 3.2 Gen 2
 - 1x USB-C 3.2 Gen 2 support DisplayPort / power delivery / G-SYNC
 - 2x USB-A 3.2 Gen 1
 - 1x HDMI 2.1
 - 1x RJ45 LAN port
Webcam: 720p HD
Weight: 2.2 kg
Battery: 4-Cell Li-ion, 90WHrs
Wi-Fi 6
Bluetooth 5.2
Windows 11 Home
รับประกัน 2 Year Onsite service / 1 Year Perfect warranty


2.HP VICTUS 15-FB2022AX (ราคา 39,990 บาท)

HP VICTUS 15-FB2022AX มาด้วยขุมพลังค่ายแดง AMD Ryzen 7 8845HS เป็นซีพียูรุ่นใหม่ มาพร้อมการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6 ปรับภาพกราฟิกสูงในการเล่นเกมได้ มี RAM 16GB DDR5 5600Mhz, มี SSD ความจุสูง 1TB PCIe 4.0 NVMe M.2 ลงเกมกินสเปกได้หลายเกมเลยครับ ด้านพอร์ตมี USB-A 3.2 2 ช่อง, USB-C 3.2 1 ช่อง รองรับ Display Port, HDMI 2.1 1 ช่อง, Lan Port 1 ช่อง และช่องหูฟัง Audio Jack 3.5mm Combo และรุ่นนี้มีราคาที่ 39,990 บาท
 
รายละเอียดสเปก
Display: 15.6" IPS Full HD (1920x1080) 144Hz, 45% NTSC
CPU: AMD Ryzen 7 8845HS
GPU: Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6
RAM: 16GB DDR5 5600Mhz
Storage: SSD 1TB PCIe 4.0 NVMe M.2
I/O Ports (พอร์ตเชื่อมต่อ)
  - 2x USB-A 3.2
  - 1x USB-C 3.2 (DisplayPort 1.4, HP Sleep and Charge)
  - 1x HDMI 2.1
 - 1x RJ45 LAN port
- 1x Audio Jack 3.5mm Combo
Webcam: 720p HD
Weight: 2.2 kg
Battery: 4 Cell Li-Polymer 70Wh
Wi-Fi 6E
Bluetooth 5.3
Windows 11 Home
รับประกัน 2 Year Onsite service
3.GIGABYTE G5 KF5-H3TH393KH (ราคา 38,990 บาท)


 

GIGABYTE G5 KF5-H3TH393KH ใช้พลังซีพียูค่ายฟ้าอย่าง Intel Core i7-13620H เป็นรหัส H ที่ใช้สำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ มีการ์ดจอเป็น Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6 เป็นการ์ดจอเล่นเกมที่คุ้มในช่วงนี้ครับ มาด้วย RAM 16GB DDR5 5600Mhz, SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2 มีพอร์ต USB-A 2.0 1 ช่อง / USB-A 3.2 1 ช่อง / USB-C 3.2 2 ช่อง / HDMI 1 ช่อง / Lan Port 1 ช่อง / MicroSD Card reader 1 ช่อง และช่องเสียบหูฟังและไมโครโฟนอย่างละ 1 ช่อง และรุ่นนี้มีราคาที่ 38,990 บาท

รายละเอียดสเปก

Display: 15.6" IPS Full HD (1920x1080) 144Hz
CPU: Intel Core i7-13620H
GPU: Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6
RAM: 16GB DDR5 5600Mhz
Storage: SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2
I/O Ports (พอร์ตเชื่อมต่อ)
 - 1x USB-A 2.0
 - 1x USB-A 3.2 Gen 1
- 2x USB-C 3.2 Gen 2
 - 1x HDMI
 - 1x RJ45 LAN port
 - 1x MicroSD Card reader
 - ช่องเสียบหูฟัง
 - ช่องเสียบไมโครโฟน
Webcam: 720p HD
Weight: 2.08 kg
Battery: Li-ion 54Wh
Wi-Fi 6E
Bluetooth 5.2
Windows 11 Home
รับประกัน 2 Year Onsite service


4.ACER NITRO V 16 ANV16-41-R782 (ราคา 39,990 บาท)

ACER NITRO V 16 ANV16-41-R782 มีหน้าจอที่ใหญ่และความละเอียดมากกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อยครับ มาที่ขนาด 16 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียด WUXGA (1920x1200) มี Refresh rate สูงกว่าใครด้วย 165 Hz ความสว่าง 300nits ใช้ซีพียู AMD Ryzen 7 8845HS ตัวแรง พร้อมการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6 มีแรม 16GB DDR5 5200Mhz, SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2 จัดเต็มได้ทุกเกม ด้านพอร์ตมี USB-A 3.2 Gen 2 2 ช่อง / USB-C 4 Gen 3 1 ช่อง / HDMI 1 ช่อง / Lan port 1 ช่อง / Audio jack 3.5 mm combo และรุ่นนี้มีราคาที่ 39,990 บาท
 
รายละเอียดสเปก
Display: 16" IPS WUXGA (1920x1200) 165 Hz, 300nits, 45% NTSC
CPU: AMD Ryzen 7 8845HS
GPU: Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6
RAM: 16GB DDR5 5200Mhz
Storage: SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2
I/O Ports (พอร์ตเชื่อมต่อ)
 - 2x USB-A 3.2 Gen 2
 - 1x USB-C 4 Gen 3
 - 1x HDMI
 - 1x RJ45 LAN port
 - 1x Audio jack 3.5 mm combo
Webcam: 720p HD
Weight: 2.5 kg
Battery: 3 Cell Li-Ion 57Wh
Wi-Fi 6E
Bluetooth 5.3
Windows 11 Home
รับประกัน 3 Year Onsite service
 

5.MSI THIN A15 B7VF-044TH (ราคา 38,990 บาท)
 
MSI THIN A15 B7VF-044TH โน้ตบุ๊กเกมมิ่งจากค่ายมังกรแดงขวัญใจเกมเมอร์หลายๆ คน โดยพกพาได้สะดวกด้วยน้ำหนักเพียง 1.86 กก. น้อยกว่าโน้ตบุ๊กเกมมิ่งรุ่นๆ อื่นเลยครับ รุ่นนี้มาด้วยซีพียู AMD Ryzen 7 7735HS พร้อมการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6  มี RAM 16GB DDR5 4800Mhz, SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2 ด้านพอร์ตมี USB-A 3.2 Gen 1 3 ช่อง / USB-C 3.2 Gen 2 with PD charging 1 ช่อง / HDMI 2.1 1 ช่อง / ช่องหูฟังและไมโครโฟนอย่างละ 1 ช่อง และรุ่นนี้มีราคา 38,990 บาท
 
รายละเอียดสเปก
Display: 15.6" IPS Full HD (1920x1080) 144Hz, 45% NTSC
CPU: AMD Ryzen 7 7735HS
GPU: Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6
RAM: 16GB DDR5 4800Mhz
Storage: SSD 512GB PCIe 4.0 NVMe M.2
I/O Ports (พอร์ตเชื่อมต่อ)
 - 3x USB-A 3.2 Gen 1
 - 1x USB-C 3.2 Gen 2 with PD charging
 - 1x HDMI 2.1 (8K @ 60Hz / 4K @ 120Hz)
 - 1x Mic-in
 - 1x Headphone-out
Webcam: 720p HD
Weight: 1.86 kg
Battery: 3 Cell Li-Ion 57Wh
Wi-Fi 6E
Bluetooth 5.3
Windows 11 Home
รับประกัน 2 ปี
 
ในส่วนสุดท้ายต้องบอกเลยว่าน่าซื้อทุกตัวเลย ซึ่งโน้ตบุ๊กเกมิ่งที่แนะนำมาจะใช้เป็นการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 4060 8GB GDDR6 กัน เพราะให้ประสิทธิภาพที่ดีและราคาจะไม่สูงเกินงบ 40,000 บาท ไปครับ แต่ถ้ายังเลือกไม่ถูกละก็ เดี๋ยวผู้เขียนจะมาสรุปคร่าวๆ ให้
 
ต้องการความจุ SSD มาก
HP VICTUS 15-FB2022AX ให้ SSD มา 1TB ราคาที่ 39,990 บาท
 
หากต้องการพกพาได้
MSI THIN A15 B7VF-044TH น้ำหนักเพียง 1.86 กก. ราคา 38,990 บาท
 
หากต้องการซีพียูใหม่สุด
HP VICTUS 15-FB2022AX ใช้ซีพียู AMD Ryzen 7 8845HS ราคา 39,990 บาท
ACER NITRO V 16 ANV16-41-R782 ใช้ซีพียู AMD Ryzen 7 8845HS ราคา 39,990 บาท
 
หากต้องการจอลื่นสุด
ACER NITRO V 16 ANV16-41-R782 หน้าจอ 165Hz ราคา 39,990 บาท
 
หากต้องการพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน
ASUS TUF GAMING A15 FA507NVR-LP037W ราคา 38,990 บาท

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคบิด (Dysentery)

โรคบิด (Dysentery) คืออาการท้องเสียอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชิเกลลา (Shigella) หรือเกิดจากติดเชื้อจากสัตว์เซลล์เดียวอย่างตัวอะมีบา (E. histolytica) โดยอาการหลัก ๆ ของโรคบิดที่พบได้แก่ อาการท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อย เมื่อถ่ายอุจจาระจะมีมูกหรือมูกเลือดออกมาด้วย และปวดท้องเป็นพักๆ

โรคบิด

โรคบิดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

    โรคบิดชนิดไม่มีตัว (Bacillary Dysentery หรือ Shigellosis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มชิเกลลา (Shigella) สามารถพบได้ทั่วไปในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี
    โรคบิดชนิดมีตัว (Amoebic Dysentery หรือ Amoebiasis) เป็นโรคบิดที่เกิดจากสัตว์เซลล์เดียวอันมีชื่อว่า อะมีบา ที่มักพบการติดเชื้อได้ในพื้นที่ร้อนชื้นและที่ที่มีการดูแลสุขอนามัยที่ไม่ดีมากนัก

ปัจจุบันในประเทศไทยยังพบว่ามีรายงานผู้ป่วยโรคบิดในหลาย ๆ ท้องที่เนื่องจากยังมีบางพื้นที่ที่มีการสุขาภิบาลด้านอาหารและน้ำดื่มที่ไม่ดีพอ ทั้งนี้โรคบิดเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ หากรักษาได้อย่างทันท่วงทีและได้รับการชดเชยภาวะขาดน้ำควบคู่กับการให้ยาฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสม แต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วก็อาจจะทำให้อาการรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้


อาการของโรคบิด

อาการของโรคบิดสามารถแสดงให้เห็นได้ชัดเจนผ่านอาการท้องเสียอย่างรุนแรง แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อโรคบิดชนิดไม่มีตัวก็อาจไม่มีอาการแสดงให้เห็น แต่จะสามารถตรวจพบเชื้อได้ในอุจจาระ และสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นผ่านอุจจาระได้เช่นกัน

ทั้งนี้อาการของโรคบิดทั้ง 2 ชนิดจะค่อนข้างคล้ายกัน คือ หลังจากรับเชื้อแล้ว จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ในการฟักตัว โดยในช่วงนี้จะไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น แต่ภายหลังจะเริ่มมีอาการท้องเสีย โดยสามารถสังเกตได้ว่าท้องเสียหรือไม่ ด้วยการการนับจำนวนครั้งที่ถ่าย หากเริ่มถ่ายติดต่อกันมากกว่า 3 ครั้งก็เข้าข่ายว่าท้องเสีย แต่อาการท้องเสียจากโรคบิดจะรุนแรงกว่าเพราะจะมีอาการอุจจาระเป็นน้ำ มีมูกหรือมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดเกร็ง ปวดบีบที่ท้องเป็นพัก ๆ ปวดหน่วงที่ทวารหนัก คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ขึ้นสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ซึ่งหากเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียในโรคบิดชนิดไม่มีตัว ก็อาจหายได้โดยไม่ต้องทำการรักษาใด ๆ แต่ส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อ

ทว่าหากเป็นโรคบิดชนิดมีตัว นอกจากอาการข้างต้นแล้ว ตัวอะมีบาก็อาจเข้าไปสู่กระแสเลือด และแพร่ไปยังอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น ตับ หัวใจ สมอง หรืออวัยวะอื่น ๆ ซึ่งตัวอะมีบาจะเข้าไปทำให้เนื้อเยื่อในอวัยวะถูกทำลาย หรือก่อให้เกิดฝีที่อวัยวะต่าง ๆ และนำไปสู่อาการติดเชื้อ หรืออาการอื่น ๆ ที่รุนแรงขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที จะทำให้เสียชีวิตได้

สาเหตุของโรคบิด

โรคบิดแต่ละชนิด เกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกันไป แต่ความรุนแรงจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะโรคบิดชนิดมีตัวจะรุนแรงที่สุด เนื่องจากตัวอะมีบาอาจเข้าไปทำลายอวัยวะภายในได้

โรคบิดชนิดไม่มีตัว มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มชิเกลลา (Shigella) นอกจากนี้เชื้อชนิดอื่น ๆ ก็อาจก่อให้เกิดโรคบิดได้ เช่น เชื้อแคมพีโลแบคเตอร์ (Campylobacter) เชื้อเอสเชอริเชีย โคไล หรือเชื้อ อี โคไล (Escherichia Coli: E. coli) และเชื้อซาโมเนลลา (Salmonella) เป็นต้น

โรคบิดชนิดมีตัว มีสาเหตุเกิดจากอะมีบา โดยเชื้อดังกล่าวจะมีวงจรชีวิต 2 ระยะ ดังนี้

    ระยะถุงหุ้ม (Cysts) เป็นระยะที่อะมีบาไม่สามารถแพร่กระจายได้ แต่สามารถอาศัยอยู่ในดิน ในปุ๋ย หรือในน้ำได้หลายเดือน
    ระยะโทรโพไซท์ (Trophozite) เป็นระยะที่อะมีบาออกมาจากถุงหุ้มและแพร่กระจายได้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ซึ่งตัวอะมีบาจะฝังตัวอยู่ที่ผนังลำไส้ จนทำให้ผู้ป่วยมีอาการอุจจาระเป็นเลือด ลำไส้อักเสบ และเนื้อเยื่อภายในลำไส้ถูกทำลาย จากนั้นอะมีบาจะสร้างถุงหุ้มขึ้นมาและออกจากร่างกายไปพร้อมอุจจาระ กลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง ทั้งนี้หากอะมีบาในระยะนี้แพร่กระจายไปยังกระแสโลหิตก็จะทำให้เชื้อไปถึงอวัยวะอื่นในร่างกายได้ และก่อให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะนั้น ๆ หรือเกิดฝี และเกิดอาการป่วยที่รุนแรง รวมทั้งอาจนำมาสู่การเสียชีวิตได้

โรคบิดสามารถติดต่อกันได้ผ่านเชื้อโรคที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย โดยเมื่อเชื้อของโรคบิดปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำ ลงไปในอาหาร หรือตกค้างอยู่ที่มือของผู้ป่วย ก็อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ ไม่เพียงเท่านั้นแมลงวันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้อีกด้วย ขณะที่ผู้ป่วยที่มีเชื้อของโรคบิดสามารถเป็นพาหะและแพร่เชื้อได้ตลอดเวลาที่มีอาการ เพราะจะมีเชื้อออกมากับอุจจาระทุกครั้งที่ถ่าย และเชื้อจะค่อย ๆ หมดไปหลังจาก 2-3 สัปดาห์

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียหรือได้รับเชื้ออะมีบาเข้าสู่ร่างกาย อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเหล่านี้ ได้แก่

    ผู้ที่อาศัยหรือเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี
    ผู้ที่อพยพมาจากพื้นที่ที่มีสุขอนามัยที่ไม่ดี
    ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการจัดการสุขอนามัยไม่ดี อาทิ เรือนจำ
    ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
    ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ

การวินิจฉัยโรคบิด

ในเบื้องต้นผู้ป่วยอาจสันนิษฐานได้คร่าว ๆ ว่าเป็นโรคบิดหรือไม่ จากอาการท้องเสีย หากอุจจาระที่ออกมามีมูกเลือดปนในหลังจากรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

ทั้งนี้เมื่อถึงมือแพทย์แล้ว แพทย์จะทำการซักประวัติเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร หรือการดื่มน้ำ และการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาดของเชื้อแบคทีเรียหรือตัวอะมีบา จากนั้นแพทย์จะสั่งเก็บตัวอย่างอุจจาระ แล้วส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการ โดยจะต้องทำการเก็บเพื่อนำมาตรวจหาเชื้อติดต่อกัน 3 วัน เพื่อผลที่แม่นยำ และหากพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์ก็จะเริ่มวางแผนในการรักษาทันที เนื่องจากหากปล่อยไว้นาน อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

หากเป็นการติดเชื้อโรคบิดจากเชื้ออะมีบา แพทย์อาจมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจการทำงานของตับ และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูสภาพของตับ เนื่องจากตัวอะมีบาอาจเข้าไปทำลายตับ จนทำให้เกิดบาดแผล หรือเป็นฝีในตับ ซึ่งถือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

ในขณะเดียวกัน แพทย์อาจใช้วิธีส่องกล้องเพื่อดูการติดเชื้อที่บริเวณลำไส้และเนื้อเยื่อในลำไส้เพื่อประเมินความรุนแรง และวางแผนการรักษา รวมถึงป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น


การรักษาโรคบิด

โรคบิดสามารถรักษาให้หายได้ และหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะช่วยให้ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนลดลง ซึ่งการรักษาจะคำนึงถึงชนิดของโรคบิดและความรุนแรงของอาการ ดังนี้

โรคบิดชนิดไม่มีตัว โดยปกติแล้วโรคบิดชนิดนี้จะมีอาการประมาณ 5-7 วัน หากอาการไม่รุนแรง และผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว การรักษาจะเน้นไปที่การรักษาภาวะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายจากการท้องเสียเท่านั้น โดยผู้ป่วยควรเลี่ยงการใช้ยารักษาอาการท้องเสียโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้อาการยิ่งแย่ลง

ในการรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ การดื่มน้ำให้เพียงพอก็สามารถช่วยลดผลกระทบจากอาการท้องเสียได้ แต่ถ้าหากเป็นเด็ก การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วกว่า แต่ถ้าหากอาการรุนแรงจนต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล แพทย์จะสั่งให้น้ำเกลือผ่านทางหลอดเลือดดำแทน เพราะจะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูจากความรุนแรงของโรคบิดได้

ในกรณีที่อาการของโรคบิดไม่รุนแรง ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ เนื่องจากอาจทำให้เชื้อดื้อยาได้ แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เพราะยาดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาของอาการได้ นอกจากนี้ ในผู้ป่วยที่เป็นเด็กทารก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยที่อยู่สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่กระจายของเชื้ออาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายหรือส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

โรคบิดชนิดมีตัว ในการรักษาโรคบิดชนิดนี้จะเน้นที่การใช้ยาเป็นหลัก เนื่องจากอะบีมาไม่สามารถออกไปจากร่างกายของเราได้หมด และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้แม้จะไม่มีอาการของโรคบิดก็ตาม ซึ่งหากมีการตรวจพบอะมีบาในอุจจาระ แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาไดโลซาไนต์ ฟูโรเอต ในการกำจัดปรสิตอย่างอะมีบาออกจากร่างกาย ส่วนอาการอื่น ๆ ของโรคบิดชนิดนี้จะเป็นการรักษาตามอาการ จนกว่าอาการจะดีขึ้นและสามารถกำจัดตัวอะมีบาออกจากร่างกายได้หมดแล้ว ทว่าหากผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อน ก็จะต้องใช้วิธีการรักษาดังต่อไปนี้

    ลำไส้อักเสบจากอะมีบา (Amoebic Colitis) หากผู้ป่วยมีอาการลำไส้อักเสบที่มีสาเหตุมาจากตัวอะมีบาร่วมกับอาการของโรคบิด แพทย์จะสั่งใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการ โดยยาที่นิยมใช้ ได้แก่ ยาเมโทรนิดาโซล ยาทินิดาโซล และอาจมีการใช้ยาไดโลซาไนต์ ฟูโรเอต เพื่อกำจัดอะมีบาที่อยู่ภายในกระเพาะอาหาร ทั้งนี้หากการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการตรวจเพื่อติดตามผล จนกว่าแพทย์จะมั่นใจว่าไม่มีอะมีบาหลงเหลือภายในร่างกายอีกต่อไป
    ฝีในตับจากอะมีบา (Amoebic Liver Abscess) ถือเป็นอาการที่ค่อนข้างอันตราย และต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาฝี โดยยาที่ใช้จะเหมือนกับการรักษาภาวะลำไส้อักเสบจากอะมีบา เพราะสามารถรักษาฝีให้หายได้

นอกจากนี้การรักษาภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการของลำไส้อักเสบ ก็จะมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำมากขึ้น จึงควรดื่มน้ำมาก ๆ หรือใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ควบคู่ด้วย โดยการให้รับประทานผงน้ำตาลเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะขาดน้ำ ดังนี้

    ภาวะขาดน้ำไม่รุนแรง ให้เบื้องต้น 50 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ 100 มิลลิลิตร ต่อเนื่องกัน 24 ชั่วโมง
    ภาวะขาดน้ำปานกลาง ให้เบื้องต้น 100 มิลลิลิตร ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกัน 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ 100 มิลลิลิตร ต่อเนื่องกัน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ต้องให้ควบคู่กับการให้น้ำเกลือ และสารน้ำ (Volumetric Solution: V/S) ทางหลอดเลือดดำ
    ภาวะขาดน้ำรุนแรง ให้ผงน้ำตาลเกลือแร่ทางปากให้เร็วและมากที่สุด จากนั้นส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับสารน้ำทางหลอดเลือดดำต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนอย่างลำไส้อักเสบ หรือฝีในตับที่รุนแรง เช่น ลำไส้ทะลุ ฝีที่ตับมีขนาดใหญ่มาก หรือการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมลำไส้และดูดหนองออกเพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วร่างกายจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต


ภาวะแทรกซ้อนของโรคบิด

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคบิดนั้น เป็นอาการที่ควรเฝ้าระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละอาการสามารถส่งผลรุนแรงต่อผู้ป่วยได้ ซึ่งภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ในผู้ป่วยโรคบิดจะแตกต่างไปตามชนิดของโรค ดังนี้

โรคบิดชนิดไม่มีตัว โดยปกติแล้วโรคบิดชนิดนี้จะไม่ค่อยพบอาการแทรกซ้อน แต่ก็อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าการทำงานของลำไส้จะกลับมาเป็นปกติ และหากพบภาวะแทรกซ้อนก็มักมีอาการดังต่อไปนี้

    ภาวะขาดน้ำ การท้องเสียติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำ และหากเกิดการขาดน้ำอย่างรุนแรงก็อาจทำให้เกิดอาการช็อก และเสียชีวิตได้
    อาการชัก กรณีโรคบิดในเด็ก อาการของบิดจะทำให้เด็กมีไข้สูง จนเกิดอาการชักได้ ซึ่งหากมีอาการควรรีบติดต่อแพทย์โดยทันที
    ทวารหนักโผล่ (Rectal Prolapse) การเคลื่อนของลำไส้ที่ผิดปกติจากโรคบิด อาจทำให้เยื่อเมือกบุผนังลำไส้หรือหนังลำไส้ตรงเคลื่อนออกมาอยู่นอกทวารหนักได้
    ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกและไตวายเฉียบพลัน (Hemolytic Uremic Syndrome) ในผู้ป่วยโรคบิดชนิดไม่มีตัวบางรายที่มีสาเหตุมาจากเชื้ออี โคไล สามารถเกิดอาการเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่ำจนเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้
    ลำไส้พองตัว (Toxic Megacolon) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย เมื่อลำไส้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ก็จะทำให้อาหารหรือแก๊สภายในระบบย่อยอาหารไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หากไม่ได้รับการรักษา ลำไส้อาจแตกและทำให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ซึ่งต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน หากรักษาไม่ทันก็จะทำให้เสียชีวิตได้
    โรคข้ออักเสบรีแอคทีฟ (Reactive Arthritis) อาการนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการปวดตามข้อ และเกิดอาการอักเสบร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจพบอาการคัน หรือระคายเคืองตา หากปัสสาวะก็จะรู้สึกเจ็บ

โรคบิดชนิดมีตัว การติดเชื้อจากอะมีบาอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ เพราะหากเชื้อหลุดรอดเข้าไปยังกระแสโลหิตก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต โดยภาวะแทรกซ้อนที่มักพบ ได้แก่

    ภาวะลำไส้เน่า (Necrotizing Colitis) เกิดจากเชื้ออะมีบาฝังตัวในลำไส้ จนทำให้เนื้อเยื่อบริเวณลำไส้ตายและเน่า หากไม่ได้รับการรักษาอาจเสียชีวิตได้
    ลำไส้พองตัว (Toxic Megacolon) เป็นอาการที่ลำไส้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ทำให้อาหารหรือแก๊สภายในลำไส้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ หากไม่ได้รับการรักษา ลำไส้อาจแตกและทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และเสียชีวิตได้
    ภาวะทวารหนักทะลุเข้าช่องคลอด (Rectovaginal Fistula) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคบิดชนิดมีตัวในเพศหญิง ซึ่งหากมีอาการอักเสบของบริเวณลำไส้ส่วนทวารหนักเรื้อรัง จะทำให้ผนังลำไส้ส่วนดังกล่าวอ่อนแอ จนทำให้เกิดการทะลุ ทำให้อุจจาระไหลเข้าไปที่ช่องคลอดได้
    ฝีที่ตับ (Liver Abscess) เมื่อตัวอะมีบาแพร่กระจายเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่ตับ ก็อาจทำให้เกิดฝีที่ตับ และอาจก่อให้เกิดการปริแตกของเยื่อหุ้มช่องท้อง เยื่อหุ้มทรวงอก และเยื่อหุ้มหัวใจได้ รวมทั้งฝีอาจแพร่กระจายไปยังเยื่อหุ้มปอด เยื่อหุ้มหัวใจ และเยื่อหุ้มสมอง จนเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อน อื่น ๆ ได้อีก เช่น ลำไส้ทะลุ เลือดออกในทางเดินอาหาร ลำไส้ตีบตัน ภาวะลำไส้กลืนกัน (Intussusception) เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และภาวะมีหนองในโพรงเยื่อหุ้มปอด (Empyema) เป็นต้น


การป้องกันโรคบิด

การรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีป้องกันโรคบิดที่ดีที่สุด เพราะสุขอนามัยที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อโรคบิดได้ โดยวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงโรคบิด ได้แก่

    ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังจากเข้าห้องน้ำเพื่อกำจัดเชื้อ
    ล้างมือทุกครั้งก่อนใช้มือหยิบจับอาหาร
    หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
    หากในครอบครัวมีผู้ป่วยโรคบิด ควรรักษาความสะอาดและสุขอนามัยให้มากขึ้น รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อ หรือการแพร่กระจายของเชื้อด้วยการทำความสะอาดเสื้อผ้าหรือเครื่องใช้ส่วนตัวที่เป็นผ้าด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจติดอยู่กับผ้า
    ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่สะอาดเพื่อป้องกันเชื้อที่อาจปะปนอยู่ในน้ำ

นอกจากนี้ หากต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี หรือมีความเสี่ยงที่จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ไม่ได้บรรจุอย่างถูกสุขลักษณะ โดยควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากก๊อกน้ำ หลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำแข็ง ไอศกรีม สัตว์ทะเลที่มีเปลือก อาหารที่มีผักสด หรือผลไม้ที่ผ่านการปอกเปลือกแล้ว เพราะอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนได้

13
การพิจารณาด้านความปลอดภัยระหว่างใช้งานท่อลมร้อนในโรงงาน

การพิจารณาด้านความปลอดภัยระหว่างการใช้งานท่อลมร้อนในโรงงานเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด เนื่องจากระบบท่อลมร้อนมีความเสี่ยงหลายอย่างที่อาจนำไปสู่อันตรายต่อบุคลากร ทรัพย์สิน และกระบวนการผลิต หากไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม นี่คือข้อควรพิจารณาหลักๆ:

1. การป้องกันการสัมผัสโดยตรงและการไหม้ (Burn Prevention)

ฉนวนกันความร้อนที่เพียงพอ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่อลมร้อนทุกส่วนที่อาจสัมผัสได้ถูกหุ้มด้วยฉนวนที่มีความหนาเพียงพอและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดอุณหภูมิพื้นผิวของฉนวนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย (โดยทั่วไปคือไม่เกิน 60°C หรือตามมาตรฐานความปลอดภัยของโรงงาน)
วัสดุหุ้มฉนวนที่แข็งแรง (Cladding): วัสดุหุ้มฉนวนภายนอก (เช่น แผ่นอะลูมิเนียม หรือสเตนเลสสตีล) ต้องอยู่ในสภาพดี ไม่บุบ ฉีกขาด หรือหลุดลอก เพื่อป้องกันไม่ให้ฉนวนภายในเสียหายและทำให้เกิดจุดร้อน
ป้ายเตือนความร้อน: ติดตั้งป้ายเตือน "ระวัง! ร้อนจัด" หรือสัญลักษณ์เตือนความร้อนสูงในบริเวณใกล้เคียงท่อลมร้อนที่มองเห็นได้ชัดเจน
รั้ว/สิ่งกีดขวาง: หากท่ออยู่ในบริเวณที่มีการจราจรของคนหรือรถขนย้าย ควรติดตั้งรั้วกั้นหรือสิ่งกีดขวางทางกายภาพเพื่อป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ


2. การตรวจสอบและป้องกันการรั่วไหล (Leak Detection & Prevention)

การตรวจสอบการรั่วไหลประจำ: ดำเนินการตรวจสอบรอยต่อ, หน้าแปลน, วาล์ว, และรอยเชื่อมทั้งหมดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาร่องรอยการรั่วไหลของลมร้อน
การตรวจสอบด้วยสายตา: มองหาสัญญาณการเปลี่ยนแปลงสีของฉนวน (จากความร้อนรั่ว), คราบสกปรก, หรือไอระเหย
การใช้กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera): มีประโยชน์อย่างยิ่งในการตรวจจับจุดร้อน (Hot Spot) ที่บ่งชี้ถึงการรั่วไหลของความร้อนหรือความเสียหายของฉนวนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
การฟังเสียง: เสียงหวีดของลมร้อนที่รั่วไหล
มาตรการสำหรับจุดรั่ว: หากพบการรั่วไหล ต้องดำเนินการแก้ไขทันทีโดยบุคลากรที่ผ่านการอบรม และอาจต้องมีการหยุดระบบชั่วคราว
การจัดการการขยายตัวทางความร้อน (Thermal Expansion): ตรวจสอบว่าระบบรองรับท่อ (Pipe Supports) และ Expansion Joints ทำงานได้อย่างถูกต้อง เพื่อรองรับการขยายตัวและหดตัวของท่อเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป การขยายตัวที่ไม่ได้รับการจัดการอาจทำให้เกิดความเค้นต่อท่อและข้อต่อจนเกิดการแตกหักหรือรั่วไหล


3. ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์อื่นๆ (Environmental & Equipment Impact)

การแผ่รังสีความร้อน: ท่อที่ร้อนอาจแผ่รังสีความร้อนออกมาโดยรอบ ทำให้พื้นที่ทำงานร้อนขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, ระบบควบคุม, หรือสินค้าที่ไวต่อความร้อนที่อยู่ใกล้เคียง
ระยะห่างที่ปลอดภัย (Clearance): ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีระยะห่างที่เพียงพอระหว่างท่อลมร้อนกับวัสดุติดไฟได้ โครงสร้างอาคาร และอุปกรณ์อื่นๆ
ความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย: ลมร้อนที่รั่วไหล หรือการสัมผัสโดยตรงของท่อร้อนกับวัสดุไวไฟ อาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ ควรมีมาตรการป้องกันอัคคีภัยที่เหมาะสมในบริเวณใกล้เคียง


4. ระบบควบคุมและอุปกรณ์ความปลอดภัย (Control & Safety Devices)

การตรวจสอบอุปกรณ์วัด: ตรวจสอบการทำงานของเกจวัดอุณหภูมิ, เกจวัดแรงดัน, และเซ็นเซอร์ต่างๆ ว่ายังคงอ่านค่าได้อย่างถูกต้องและได้รับการสอบเทียบตามกำหนด
ระบบเตือนภัย (Alarms): ตรวจสอบว่าระบบเตือนภัยเมื่ออุณหภูมิหรือแรงดันผิดปกติทำงานได้อย่างถูกต้อง และบุคลากรทราบวิธีการตอบสนองต่อการเตือนภัย
ระบบตัดการทำงานฉุกเฉิน (Emergency Shut-down - ESD): ทดสอบการทำงานของวาล์วฉุกเฉินและระบบ ESD เป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถตัดการทำงานของระบบลมร้อนได้อย่างรวดเร็วในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
ระบบควบคุมอัตโนมัติ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบควบคุมอุณหภูมิและปริมาณลมร้อนอัตโนมัติ (เช่น PLC/DCS) ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพและแม่นยำ


5. การบำรุงรักษาอย่างปลอดภัย (Safe Maintenance Practices)

Lockout/Tagout (LOTO): ก่อนการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมระบบท่อลมร้อน จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน LOTO อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการจ่ายพลังงานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ระบายความร้อนและแรงดัน: ก่อนการเข้าทำงาน ต้องมั่นใจว่าได้ระบายลมร้อนและลดแรงดันในท่อจนเป็นศูนย์ และท่อได้คลายความร้อนลงจนอยู่ในอุณหภูมิที่ปลอดภัย
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): บุคลากรที่ทำการบำรุงรักษาต้องสวม PPE ที่เหมาะสม เช่น ถุงมือกันความร้อน, แว่นตานิรภัย, ชุดป้องกันความร้อน
Corrosion Under Insulation (CUI): ระมัดระวังอันตรายจาก CUI ซึ่งเป็นการกัดกร่อนที่เกิดขึ้นใต้ฉนวน เนื่องจากความชื้นแทรกซึมเข้าไป ต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาฉนวนอย่างสม่ำเสมอ
การทำงานบนที่สูง: หากท่ออยู่สูง ต้องปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยในการทำงานบนที่สูงอย่างเคร่งครัด (เช่น การใช้นั่งร้านที่มั่นคง, เข็มขัดนิรภัย)


6. การฝึกอบรมและขั้นตอนปฏิบัติงาน (Training & SOPs)

ขั้นตอนปฏิบัติงานมาตรฐาน (SOPs): จัดทำและบังคับใช้ SOPs ที่ชัดเจนสำหรับการเดินระบบ, การตรวจสอบ, การบำรุงรักษา, และการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินของระบบท่อลมร้อน
การฝึกอบรมบุคลากร: อบรมพนักงานทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน, การตรวจสอบ, และการบำรุงรักษาระบบท่อลมร้อน ให้เข้าใจถึงอันตราย, วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง, ขั้นตอนความปลอดภัย, และวิธีการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน

การดำเนินการตามข้อควรพิจารณาเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอและจริงจัง จะช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานท่อลมร้อน และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยในโรงงานได้ครับ

14
จัดฟันบางนา: ข้อควรรู้ เกี่ยวกับการ รักษารากฟัน ก่อนจะสายเกินไป

การรักษารากฟัน คือวิธีรักษาการติดเชื้อในโพรงประสาทฟันจากแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ภายในปากและบุกรุกเข้าไปเมื่อเกิดฟันผุ ฟันเป็นรู หรืออุบัติเหตุต่อฟันที่ทำให้เนื้อฟันแตก หัก และเสียหาย การรักษาด้วยวิธีนี้ช่วยรักษารากฟันโดยไม่จำเป็นต้องถอนฟันออกไป

สัญญาณบ่งบอกว่าควรรักษารากฟัน

เมื่อโพรงประสาทฟันติดเชื้อจนอาจทำให้เกิดหนองที่ปลายรากฟัน ตามมาด้วยความเจ็บปวด และยังอาจลุกลามไปสู่ฟันซี่อื่น ๆ การรักษารากฟันด้วยการนำเอาโพรงประสาทฟันที่อยู่กลางฟันออก และใช้วัสดุเติมโพรงที่ว่างเปล่าจะช่วยหยุดการติดเชื้อ ลดอาการปวดฟัน และทำให้ฟันซี่นั้นยังคงอยู่ต่อไปได้

โพรงประสาทฟันคือฟันชั้นกลางที่อยู่ถัดเข้าไปจากชั้นเนื้อฟันและชั้นเคลือบฟันที่อยู่นอกสุด ประกอบไปด้วยหลอดเลือด เส้นประสาท และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ทำหน้าที่พยุงอวัยวะให้คงรูป โพรงประสาทนี้ยังมีหน้าที่ช่วยในการเติบโตของฟัน แต่เมื่อฟันพัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว เนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟันจะทำหน้าที่หล่อเลี้ยงบำรุงฟันต่อไป การรักษารากฟันด้วยการนำโพรงประสาทฟันออกไปจึงไม่ส่งผลต่อการทำหน้าที่ของฟันแต่อย่างใด

การรักษารากฟันนั้นช่วยให้การเคี้ยวกลับมามีประสิทธิภาพที่ดีเหมือนเคย สามารถกัดอาหารได้อย่างปกติ ลักษณะรูปร่างของฟันกลับมาสวยงาม และยังป้องกันไม่ให้ฟันซี่อื่นถูกทำร้ายไปด้วย แต่หากไม่ได้รับการรักษารากฟัน ก็อาจทำให้ฟันซี่นั้นเสียหายจนต้องถอนฟันทิ้ง ซึ่งการถอนฟันที่ไม่มีการใส่ฟันปลอมทดแทนจะทำให้ฟันเคลื่อนย้าย ฟันมีปัญหา การกัดหรือเคี้ยวอาหารทำได้ลำบาก และยังยากต่อการทำความสะอาดช่องปาก เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเหงือกได้ในที่สุด

รักษารากฟัน

อาการของโพรงประสาทเสียหายและติดเชื้อที่เป็นสัญญาณแสดงว่าควรได้รับการรักษารากฟันมีดังนี้

เจ็บเวลาเคี้ยวหรือกัดอาหาร
เสียวฟันเมื่อดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนหรือเย็น
ฟันหลวมหรือโยก
อาการบวมและนิ่มลงของเหงือกบริเวณฟันที่ติดเชื้อ
มีน้ำหนองไหลจากฟันที่ติดเชื้อ หรือมีตุ่มหนองขึ้นบนเหงือก
สีของฟันคล้ำลง
หน้าบวม


การรักษารากฟันทำได้ทุกกรณีหรือไม่

โดยมากการรักษารากฟันมักสามารถทำได้ แต่ก็มีข้อยกเว้นในกรณีที่ทันตแพทย์ไม่สามารถเข้าถึงบริเวณรากฟันได้ รากฟันแตกหักอย่างรุนแรง ฟันที่มีอาการของโรคปริทันต์ร่วมด้วย หรือไม่อาจรักษาตัวฟันไว้ได้ ทำให้จำเป็นต้องใช้การรักษารากฟันด้วยวิธีทางศัลยกรรมหรือการผ่าตัดรากฟันหรือถอนฟันออกไปแทน


การเตรียมตัว

ก่อนการลงมือรักษารากฟัน ทันตแพทย์อาจถ่ายภาพเอกซเรย์ฟันซี่ที่จะทำการรักษา เพื่อให้เห็นภาพของรากฟันบริเวณที่ได้รับความเสียหายได้อย่างชัดเจน รวมถึงพิจารณาว่ามีการติดเชื้อรอบ ๆ กระดูกบริเวณดังกล่าวหรือไม่ จากนั้นจึงฉีดยาชาเฉพาะที่ในกรณีที่จำเป็น แล้วรอให้ชาจนทั่ว เพื่อให้เหงือก ฟัน ลิ้น รวมถึงผิวหนังบริเวณดังกล่าวไร้ความรู้สึก และไม่เกิดความรู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองระหว่างการรักษารากฟัน แต่ผู้ป่วยที่โพรงประสาทฟันตายหมด ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีอุบัติเหตุที่มีการกระแทกของฟันรุนแรง ทำให้ผู้ป่วยไม่มีความรู้สึกที่บริเวณดังกล่าวอีกต่อไปนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา แต่แพทย์ก็มักฉีดให้เพื่อความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยของผู้ป่วย


วิธีรักษารากฟัน

การนำเอาโพรงฟันออกมา การรักษารากฟันเริ่มด้วยการวางแผ่นยางกั้นน้ำลายไว้รอบฟันซี่ที่จะรักษารากฟัน เพื่อให้บริเวณดังกล่าวสะอาด และยังเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากวัสดุที่ใช้รักษาหรือน้ำยาล้างคลองรากฟันไหลลงคอผู้ป่วย จากนั้นจึงใช้เครื่องมือเจาะตรงส่วนบนของฟันเพื่อนำเอาเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟันที่ติดเชื้อออกมา หากมีหนองใต้โพรงฟันก็จะนำออกมาในคราวเดียวกัน

การทำความสะอาดและเติมโพรงฟัน ขั้นตอนต่อไปคือการล้างทำความสะอาดและใช้เครื่องมือขยายโพรงประสาทฟันให้กว้างขึ้น เพื่อให้สามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ง่าย ซึ่งฟันแต่ละซี่มีรากฟันจำนวนไม่เท่ากันอาจมีตั้งแต่ 1-3 ซี่ ยิ่งมีจำนวนรากมากก็ยิ่งต้องใช้เวลานานขึ้น ขณะที่ฟันถูกเปิดเป็นช่องทางเพื่อให้เข้าไปทำความสะอาดโพรงรากนี้ หากเนื้อเยื่อฟันที่อักเสบยังหลงเหลืออยู่จะถูกกำจัดออก และสำหรับการรักษารากฟันที่ไม่สามารถทำจนเสร็จได้ในครั้งเดียว ทันตแพทย์จะปิดโพรงฟันไว้ด้วยวัสดุอุดฟันชั่วคราว โดยอาจใช้ยาฆ่าเชื้อใส่ลงไปในบริเวณรากฟันร่วมด้วย ในระหว่างใส่วัสดุอุดฟันชั่วคราวนี้ หากพบว่าเกิดอาการจากการติดเชื้อ โดยอาจมีไข้ขึ้นสูง หรืออาการบวมหนัก สามารถบรรเทาได้ด้วยยาปฏิชีวนะที่ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย

การปิดโพรงประสาทฟันและใส่ครอบฟัน หลังจากการพบทันตแพทย์ครั้งก่อนที่โพรงฟันถูกปิดแบบชั่วคราวไว้ ครั้งต่อมาจะเป็นการนำเอายาและวัสดุเติมเต็มชั่วคราวที่ใส่ไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนออก แล้วใส่วัสดุเติมรากฟันให้โพรงประสาทฟันปิดสนิทและป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ ฟันที่โพรงประสาทฟันถูกนำออกไปนี้อาจเป็นสาเหตุให้ฟันซี่นั้นแตกหักได้ง่าย เนื่องจากเมื่อไม่มีเส้นประสาทคอยรับรู้ความเจ็บปวดแล้ว หากเกิดการอักเสบของฟัน จะทราบได้ก็ต่อเมื่อฟันเสียหายไปมากแล้ว


การใส่ครอบฟันจึงเป็นอีกสิ่งจำเป็นในการป้องกันฟันผุหรือการแตกหักของฟันที่ทันตแพทย์อาจแนะนำ ซึ่งที่ครอบฟันนี้อาจทำมาจากวัสดุชนิดโลหะ กระเบื้อง หรือเซรามิก เป็นต้น ก่อนการสวมที่ครอบฟัน ฟันซี่ดังกล่าวจะถูกกรอตกแต่งให้เล็กลงอีกนิดเพื่อให้ใส่เข้ากับที่ครอบที่ถูกหล่อขึ้นมาอย่างพอดีกับรูปร่างและขนาดของฟัน เมื่อที่ครอบฟันพอดีกับฟันที่ถูกตกแต่งดีแล้วจึงยึดติดเข้าด้วยกันโดยใช้ปูนสำหรับอุดฟัน ทว่าหากมีเนื้อฟันเหลือน้อยมากหลังจากการรักษารากฟัน ก็อาจจำเป็นต้องใช้หลักยึดติดไว้กับคลองรากฟันเพื่อให้ที่ครอบฟันติดกับฟันอย่างมั่นคง

15
motor show 2025: OMODA & JAECOO สร้างนิยามใหม่ของตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของโลก ด้วย Super Hybrid System

Shanghai International Automobile Industry Exhibition หรือ Shanghai Auto Show 2025 เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 23 เมษายน 2025 ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 2 ปีของ OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ที่จัดขึ้นในหัวข้อ อยู่ด้วยกัน 2 ปี จากก้าวแรกสู่ก้าวกระโดด -  2 Years 2gather: From Seed to Speed ในงานครบรอบดังกล่าวนี้ OMODA & JAECOO นำเสนอรถยนต์ Super Hybrid System (SHS) หลายรุ่น เช่นรุ่น OMODA  C7 SHS, OMODA C5 SHS และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างรุ่น JAECOO 5 EV โดยบริษัทฯ พร้อมดำเนินตามวิสัยทัศน์ Born Global, Born NEV แม้ว่าจะเป็นแบรนด์รถยนต์ใหม่ในท้องตลาด แต่เป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

ในโอกาสเดียวกันนี้ คุณชอว์น ฉู ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโอโมดา แอนด์ เจคู่ ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของบริษัทฯ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเริ่มเข้าสู่ตลาดทวีปยุโรปและขยายตลาดไปทั่วโลก รวมไปจนถึงการได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องตามแนวคิด Global Standard, Global Quality ไปจนถึงการก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีเครื่องยนต์ไฮบริดของโลก OMODA & JAECOO ยกระดับตนเอง “จากก้าวแรกสู่ก้าวกระโดด” นับตั้งแต่การเปิดตัวแบรนด์เป็นครั้งแรกในโลกในงาน Shanghai Auto Show 2023 จนมาถึงหลักชัยสำคัญในงาน Shanghai Auto Show 2025 กล่าวโดยสรุปแล้ว OMODA & JAECOO ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ของการยกระดับความก้าวหน้าในตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ไปอีกขั้นอย่างเป็นทางการ

OMODA & JAECOO สร้างนิยามใหม่ของตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดโลก พร้อมปฏิวัติด้านระยะทางการขับขี่
ด้วยความตั้งใจให้เห็นถึงสมรรถนะของ JAECOO 7 SHS ในการขับขี่ที่สามารถขับได้ไกล จึงถูกพิสูจน์ด้วยการจัดกิจกรรมการขับขี่โกลบอลซุเปอร์ไฮบริดมาราธอน นับถึงปัจจุบัน รถยนต์รุ่น  JACOO 7 SHS บรรลุเป้าหมายการขับขี่ตามกิจกรรมซุเปอร์ไฮบริดมาราธอนแล้วใน 16 ประเทศ โดยในประเทศไทยได้มีการเข้าร่วมซุปเปอร์ไฮบริดมาราธอน สามารถวิ่งได้ถึง 1,433 กิโลเมตร รวมครบสะสมระยะทางได้กว่า 1 แสนกิโลเมตร ตามสภาพการทดสอบบนท้องถนนจริง เบื้องหลังระยะทางที่เยี่ยมยอดนี้คือเทคโนโลยีระบบซุปเปอร์ไฮบริด Super Hybrid System (SHS) ซึ่ง OMODA & JAECOO เป็นผู้นำของโลกในตลาดปลั๊กอินไฮบริด ที่จะสร้างนิยามใหม่ของการเดินทางด้วยประสิทธิภาพที่เหนือกว่า อัตราการใช้พลังงาน และนวัตกรรม

ในฐานะโซลูชั่นพลังงานใหม่ที่ดีที่สุดของโลก เทคโนโลยี Super Hybrid System (SHS) เกิดจากการผสาน 3 แกนหลักอันล้ำหน้าในอุตสาหกรรมมาสู่หนึ่งแพลตฟอร์ม ได้แก่ เครื่องยนต์ไฮบริดแบบเฉพาะ (DHE) 1.5 ทีดีจีไอรุ่นที่ 5 ที่ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า สำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้า และ 240 แรงม้า สำหรับการวิ่งด้วยน้ำมัน ระบบส่งกำลังไฮบริดต่อเนื่องแบบอัจฉริยะ (DHT) และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงสำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้รถยนต์ JAECOO 7 SHS มีประสิทธิภาพด้านการระบายความร้อนดีขึ้นร้อยละ 44.5 มีอัตราการใช้พลังงานน้ำมันและพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ต่ำที่ 3.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และรองรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 151.6 กิโลเมตร หรือใช้ขับขี่ไปทำงานและกลับบ้านนานประมาณ 1 สัปดาห์จากการประจุไฟเพียงครั้งเดียว นอกเหนือไปจากอัตราการใช้พลังงานที่ต่ำ เทคโนโลยีซุเปอร์ไฮบริดยังมีเสียงการทำงานเงียบเทียบเท่ารถพลังงานไฟฟ้า มีอัตราเร่งดี สร้างนิยามใหม่ของการขับขี่รถยนต์ไฮบริดให้เป็นประสบการณ์ที่เหนือข้อจำกัด
 

“เราพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังแล้ว”
 ในปี 2025 OMODA & JAECOO จะดำเนินการตามกลยุทธระดับสากลสำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีโดยมีระบบ Super Hybrid System (SHS) เป็นแกนกลาง และนำเสนอรถยนต์ที่ใช้ระบบ Super Hybrid System (SHS) ใหม่ตลอดทั้งปีนี้เพื่อเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์พลังงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ได้นำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่อีก 2 รุ่นตามกลยุทธก้าวไปสู่ระดับโลก คือรถยนต์รุ่น OMODA C7 SHS และ JAECOO 5 EV ที่จะวางจำหน่ายในช่วงเวลาหลังจากนี้ รถยนต์ทั้ง 2 รุ่นนี้จะเป็นกลจักรสำคัญเพื่อสร้างการเติบโตไปอีกขั้น
 
นอกเหนือไปจากนี้ จากการประกาศกลยุทธ์ในงาน Shanghai Auto Show 2025 ทาง Chery และ OMODA ยังเตรียมจัดงานนำเสนอเทคโนโลยีไฮบริดในประเทศไทย วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ โดยรายละเอียดของงานจะประกาศในโอกาสต่อไป

หน้า: [1] 2 3 ... 32